บริษัททัวร์ไม่ชอบรับทัวร์จีน

มีปัญหาหนึ่งที่บริษัทรับจัดทัวร์ประเทศไทยมักเจออยู่บ่อยๆ ก็คือพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของนักท่องเที่ยวชาวจีนซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นบริษัทรับจัดทัวร์หรอกครับแม้แต่เราๆ ท่านๆ ต่างก็น่าจะเคยได้ยินวีรกรรมของนักท่องเที่ยวชาวจีนดีว่าเป็นอย่างไรซึ่งบางคนอาจจะเคยประสบพบเจอมากับตัวแล้วด้วยซ้ำดังนั้นจึงไม่แปลกใจเลยที่บริษัทรับจัดทัวร์ใหญ่ๆ จะหลีกเลี่ยงการรับหรือให้บริการกับกรุ๊ปทัวร์ชาวจีนไม่ว่าจะเป็นกรุ๊ปทัวร์ใหญ่หรือเล็กก็ตาม

travel-00ในเรื่องของพฤติกรรมอันไม่เหมาะสมของนักท่องเที่ยวชาวจีนนั้นมีด้วยกันมากมายหลายแบบด้วยกันครับไม่ว่าจะเป็นการส่งเสียง โหวกเหวก โวยวายในสถานที่ต่างๆ โดยไม่คำนึงว่าสถานที่แห่งนั้นต้องการความเงียบสงบหรือไม่, การถ่มน้ำลายหรือคายเศษหมากฝรั่งลงพื้นโดยไม่รักษาความสะอาดของพื้นถนน, การข้ามถนนโดยไม่ใช้ทางข้าม สะพานลอยหรือทางม้าลาย, และที่เห็นจะโดนกันมากที่สุดก็คือการที่คนจีนเหล่านี้นึกจะเดินก็เดิน นึกจะหยุดก็หยุดโดยไม่คำนึงถึงคนที่เดินตามมาด้านหลังทำให้เกิดการจราจรทางเท้าที่ติดขัดและวุ่นวาย
นี่แหละครับคือพฤติกรรมอันไม่น่าดูของชาวจีนซึ่งต้องบอกก่อนว่าที่พูดมานี้ไม่ได้เหมารวมถึงนักท่องเที่ยวชาวจีนทุกคนนะครับหากแต่เป็นการพูดถึงกรุ๊ปทัวร์ชาวจีนส่วนใหญ่ที่มาทัวร์ซึ่งเหตุการณ์เช่นนี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะที่ประเทศไทยนะครับหากแต่ยังเกิดขึ้นกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลกจนถึงขนาดที่ว่าสถานที่ท่องเที่ยวบางแห่งประกาศป้ายปักไว้อย่างชัดเลยว่าไม่ต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวจีน

เที่ยวพม่าพาไปไหว้พระหินขาว

myanmar-0003โปรแกรมทัวร์พม่า เคยพาท่านไปมนัสการสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของประเทศชาติพม่ามาก็หลายครั้งหลายหน มาครานี้ ทัวร์พม่าจะน่าจะพาไปชมอีกหนึ่งความงามของประเทศชาติพม่าที่วัดพระหินขาว พร้อมบอกเล่าประวัติศาสตร์อันยาวเนิ่นนานของวันนี้ ถ้าคุณพร้อมแล้วตามทัวร์พม่ามาได้เลย

วัดพระหินขาว หรือเปล่าที่มีชื่อเรียกอย่างทางการว่า “Lawka Chantha Abaya Labamuni Buddha Image” พระหินขาวนี้ทำจากหินขาวที่มีสภาพมันวาว สีขาวสะอาดสะอ้านพร้อมด้วยไม่มีตำหนิ    สูง 37 ฟุต กว้าง 24 ฟุต หนัก 600 ตัน คือพระพุทธรูปประทับนั่ง พระหัตถ์ขวาบรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่อัญเชิญมาจากสิงคโปร์ พร้อมกับศรีลังกายกขึ้นไปเลี้ยวฝ่าพระหัตถ์ออกจากองค์ หมายถึงการไล่ศัตรูและประทานความเจริญก้าวหน้า นอกจากนี้คงมีการนำหินที่เหลือมาสลักเป็นพระพุทธบาทซ้าย-ขวา ประดิษฐานอยู่ อาณาเขตด้านหลังพระพุทธรูปด้วย จากนั้นชมช้างเผือกคู่บ้านคู่เมืองของประเทศชาติพม่าในอาณาเขตใกล้กันศาสนสถานที่พิเศษพร้อมด้วยศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ใน เมืองหงสาวดี เป็นพระธาตุเก่าแก่อายุกว่า 1,200 ปี เคยแหลกสลายทลายลงมาเพราะแผ่นดินไหวเมื่อ พ.ศ. 2473 หรือว่าเมื่อ 74 ปีที่แล้ว ต่อมาได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นไปมาใหม่จนแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2497 สมัยปัจจุบันพระธาตุมุเตามีความสูงประมาณ 125 เมตร พระราชวังหงสาวดี หรือไม่ Kanbawzathadi Palace อดีตกาลพระราชวังของ พระเจ้าบุเรงนองกยอดิน นรธาที่คนไทยรู้จักในดีในชื่อของผู้ชนะสิบทิศ สิ่งปลูกสร้างไม่ว่าจะจะคือ ตำหนักที่บรรทมพร้อมทั้งท้อง พระโรงที่ออกว่าราชการซึ่งตั้งอยู่ในพระราชวังสมัยนี้ พร้อมกับเคยคือที่ประทับของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เมื่อครั้งคงทรงพระเยาว์พร้อมด้วยถูกจับเป็นตัวประกัน ในโบราณกาลพระราชวังแห่งนี้ทำขึ้นในปี พ.ศ. 2109 มีผังเกือบคือรูปสี่เหลี่ยม กำแพงแต่ละด้านยาวประมาณ 1.5 ไมล์ถูกทำขึ้นใหม่ตามเขียนของ นายราล์ฟ ฟิตซ์ ชาวอังกฤษซึ่งเข้ามาติดต่อจำหน่ายพร้อมด้วยได้เห็นเมืองหงสาวดีในยุคก้าวหน้าได้บรรยายไว้ เมื่อปี พ.ศ. 2129 ก่อนที่พระราชวังหงสาวดีซึ่งถูกสร้างขึ้นอย่างสวยงามงามจะจะถูกเผาทำลายลงในปี พ.ศ. 2143 พระพุทธไสยาสน์ชเวทาลยวง ปูชนียสถานศักดิ์สิทธิ์ระดับสองของเมืองหงสาวดี พระพุทธรูป องค์นี้มีความยาว 60 เมตร สูง 17 เมตร สร้างขึ้นไปโดยพระเจ้ามิคทิปปะ ใน พ.ศ. 1537 พระพุทธรูปองค์นี้ได้ตากแสงอาทิตย์กรำฝนอยู่คือเวลาหลายร้อยปีจนกระทั่งเสื่อมลง ระหว่างนั้นก็ได้มีการบูรณะมาโดยตลอด

แต่ในช่วงรัชสมัยของพระเจ้าอลองพญาแห่งราชวงศ์คองบอง ขจัดมอญราบคาบ เมืองหงสาวดีถูกสละร้างพระพุทธไสยาสน์ก็ถูกทอดทิ้งจนกลางคือเพียงแค่กองอิฐถูกต้นไม้ขึ้นไปปกคลุมหมด จนถึงปี พ.ศ. 2424 เมื่ออังกฤษ ทำทางรถไฟสายพม่าใต้ จึงได้พบพระนอนองค์นี้ จากนั้นในปี พ.ศ. 2491 หลังพม่าได้รับเอกราชก็มีการบูรณปฏิสังขรณ์อย่างจริงจัง โดยทาสีพร้อมทั้งปิดทองใหม่อย่างที่เห็นในสมัยนี้ พระมหาเจดีย์ พระมหาเจดีย์ซึ่งสร้างโดยพระเจ้าบุเรงนอง ในปี พ.ศ. 2103 เพื่อให้ประดิษฐานพระเขี้ยวแก้วจากลังกาและ พระเจดีย์ไจปุ่น ซึ่งมีอายุมากมายกว่า 500 ปี ทำเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่ 4 องค์หันพระพักตร์ไปทุกทิศทาง แทนความหมายถึง พระพุทธเจ้า ทั้งสี่พระองค์ในภัทรกัป ได้เวลาสมควรนำคุณเดินกลับสู่กรุงย่างกุ้ง

อิสตันบูล – คุณรู้จักดีหรือยัง ?

turkey-001ถ้าหากทีมงานทัวร์ตุรกี  ถามคำถามหนึ่งคำว่า “คุณรู้จักเมืองอิสตันบูลหรือไม่ ?” อาจมีหลายคนตอบว่า รู้บ้าง ไม่รู้จักบ้าง ซึ่งก็ไม่แปลก  แต่ในเมื่อเรากำลังจะเดินทางไปตุรกี..จะตอบว่าไม่รู้จักอิสตันบูลเลยก็คงดูตลก ดังนั้นเราเลยขอแนะนำข้อมูลเมืองอิสตันบูลให้คุณแบบย่อ ตามด้านล่างนี้เลย

อิสตันบูล เป็นเมืองที่มีความสำคัญที่สุดและเป็นเมืองที่มีประชากรหนาแน่นมากที่สุดในตุรกี อิสตันบูล ตั้งอยู่ริมช่องแคบบอสฟอรัส (Bosphorus) เดิมชื่อว่า คอนสแตนติโนเปิล (Constantinople) อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ ที่เป็นเมืองสำคัญของชนเผ่าจำนวนมากในบริเวณนั้น จึงส่งผลให้อิสตันบลู มีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไปเช่น ไปแซนเทียม คอนสแตนติโนเปิล สแตมโบล เป็นต้น

อาณาเขต : ทิศเหนือจรดทะเลดำ (Black Sea ) ทิศตะวันออกติดกับโคจาเอลลี (Kocaeli )และทะเลมาร์มารา (Marmara) ฝั่งตะวันตกติดกับ เทคีร์ดาค์ ( Tekirdag ) และคีร์คลาเรลี (Kirklareli ) มีพื้นที่รวมเกาะมาร์มารา (Marmara Island ซึ่งได้สมญานามว่าเป็นเกาะเจ้าชาย Princess’Island 5,712 ตารางกิโลเมตร

อิสตันบลูเป็นเมืองเดียวของตุรกีที่มีพื้นที่อยู่ใน 2 ทวีปคือทวีปเอเชีย (ฝั่งอนาโตเลียน) และทวีปยุโรป (ฝั่ง Trace ของบอกฟอรัส) โดยทั้ง 2 ทวีป ถูกแบ่งออกจากกันโดยช่องแคบบอสฟอรัส ทะเลามาร์มารา และช่องแคบ ดาร์ดาแนลส์

ส่วนในยุโรปแบ่งออกเป็นอิสตันบลูเก่า และอิสตันบลูใหม่ โดยมีโกลเดนฮอร์นคันอยู่ (Golden Hornเป็นทะเลชายฝั่งรูปร่างเว้าเหมือนเขาสัตว์ เมื่อยามอาทิตย์อุทัยและอัสดงแสงจะอาบลำน้ำเป็นประกายระยิบระยับราวทองคำ ) เมืองที่ถูกแบ่งแล้วคือสตัมบลู (Stambul )ทางด้านใต้ และทางกาลาตา (Galata )กับเบโยหลุ (Beyoglu) ทางด้านเหนือ

ภูมิอากาศ ได้รับอิทธิพลมาจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ฤดูหนาวจะไม่หนาวเย็นมาก แต่มีฝน ฤดูร้อน อากาศจะร้อนและแห้ง อุณหภูมิของกลางวันกลางคืนไม่ต่างกันมากนักเฉลี่ยแล้วหิมะตกประมาณ 7 วันต่อปี

อิสตันบลูมีแม่น้ำสายใหญ่ที่สุดไหลผ่านอิสตันบลูคือ แม่น้ำริวา (Riva) มีปลายทางที่ทะเลดำ และยังมีแม่น้ำอิสทินเย    ( Istinye Deresi ) และบูยุค (Buyuk Menderes หรือที่ร็จักในชื่อ Maeander)ไหลลงสู่ช่องแคบบอสฟอรัส

อิสตันบลูเป็นเมืองท่าพาณิชย์ที่สำคัญ มีประชากรทั้งสิ้นประมาณ 8,803,468 ล้านคน

พาชมสวรรค์ของจริง ณ อุทยานสระสวรรค์ จิ่วจ้ายโกว

china-0009วันนี้ทัวร์จีน จะพาคุณๆไปสัมผัสกับสวรรค์ที่เรียกได้ว่าสวยงามจนหลายคนตะลึงเลยทีเดียว เพราะถ้าเอ่ยชื่อของ อุทยานสระสวรรค์ จิ่วจ้ายโกว  เชื่อได้ว่าใครที่เคยไปเที่ยวจีนแล้วก็อยากไปเที่ยวอีก  เพราะความสวยงามที่อยู่ตรงหน้ามันคือสวรรค์ของจริง

อุทยานสระสวรรค์ จิ่วจ้ายโกว  ตั้งอยู่ในบริเวณทางทิศเหนือของมณฑลเสฉวน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในบริเวณตอนใต้ของเทือกเขาหมิงซาน จิ่วไจ้โกว อยู่ห่างออกไปจากตัวเมืองเฉิงตูราว 500 กิโลเมตร อุทยานจิ่วจ้ายโกว หรือที่ชาวตะวันตกเรียกขานกันในนามดินแดนแห่งเทพนิยายตั้งอยู่ในอำเภอหนันผิงเขตปกครองตนเองของเผ่าเชียงชนชาติทิเบตทางตอนเหนือของมณฑลซื่อชวนหรือเสฉวนภาคตะวันตกของจีนครอบคลุมพื้นที่กว่า 720 ตารางกิโลเมตร ท่ามกลางหุบเขาที่ทอดตัวคดเคี้ยวไปมา โตรกธารลดเลี้ยวผ่านผาสูงและน้ำตกขนาดใหญ่ ก่อเกิดเป็นทิวทัศน์อันตระการตาโดดเด่นด้วยสีสันของภาพภูมิทัศน์โดยรอบ จิ่วไจ้โกวเป็นธารน้ำสองสายที่ไหลมารวมกัน สายหนึ่งไหลมาจากฉางไห่ (ทะเลสาบยาวด้านตะวันตก อีกสายหนึ่งไหลมาจากตาน้ำที่ป่าดึกดำบรรพ์ ทางด้านตะวันออก สองสายธารไหลคู่ขนานแล้วมาบรรจบกันที่ใกล้บริเวณทะเลสาบกระจก หรือจิ้งไห่ จากนั้นไหลรวมกันลงไปสู่แม่น้ำขาวหรือไป๋สุ่ยเจียง มีลักษณะเป็นรูปตัววาย

จุดเด่นของ จิ่วจ้ายโกว มีอยู่ด้วยกัน 5 อย่างคือ

       1. ทะเลสาบน้ำจืดขนาดน้อยใหญ่ที่มีจำนวนมากถึง 144 แห่ง

       2. ใบไม้เปลียนสีที่ดูงดงามในต้นฤดูใบไม้ร่วง

       3. เทือกเขาที่ยอดเขาปกคลุมไปด้วยหิมะที่แสนงดงาม

       4. น้ำตกขนาดน้อยใหญ่และลำธารมากมายที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วไปในหุบเขา

       5. หมู่บ้านทั้งเก้าของชนเผ่าต่างๆของชาวทิเบต

จิ่วไจ้โกวในภาษาจีนหมายถึง แควเก้าหมู่บ้าน (คำว่า จิ่ว = เก้า, ไจ้ = หมู่บ้าน, โกว = แควหรือธารน้ำ) โดยมีที่มาจากชนชาติทิเบต 9 หมู่บ้านที่อาศัยอยู่ริมธารน้ำบริเวณนี้มาแต่เดิม จิ่วไจ้โกวได้รับการเรียกขานจากชนเผ่าทิเบตว่าเป็น ขุนเขาธารน้ำอันศักดิ์สิทธิ์ดังนั้นสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นขุนเขา ป่าไม้ ลำน้ำ หรือหินทุกก้อนล้วนได้รับการเคารพจากชนเผ่าพื้นเมืองทิเบต ปัจจุบันผืนป่าโบราณอันอุดมแห่งนี้จึงยังคงได้รับการรักษาไว้เป็นอย่างดี จิ่วไจ้โกวเป็นส่วนหนึ่งของผืนป่าทางตอนใต้ของเทือกเขาหมินซาน และเป็นแหล่งต้นน้ำของลำน้ำเจียหลิงที่เป็นสาขาหนึ่งของลำน้ำฉางเจียง(แยงซีเกียง) ตั้งอยู่ริมชายขอบของที่ราบสูงทิเบตดินแดนแห่งหลังคาโลก เป็นเขตต่อเชื่อมจากที่ราบสูงทิเบตสู่มณฑลซื่อชวน สภาพทางนิเวศวิทยาของบริเวณนี้เป็นร่องรอยที่เกิดจากแรงอัดและการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกหนุนขึ้นมาจนอยู่ในระดับสูง ทำให้เกิดร่องหินคดเคี้ยวเป็นทางยาว มีทั้งยอดเขาหิมะสูงเสียดฟ้า และหุบเขาลึก เฉพาะเขตที่มีการเปิดให้สาธารณชนเข้าชมก็มีความสูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 2,000 – 3,100 เมตร อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปี 7 – 8 องศาเซลเซียส ด้วยสภาพภูมิประเทศที่มีความสูงต่ำแตกต่างกันอย่างมากมายนี้ ได้ทำให้สภาพภูมิอากาศและพืชพรรณสัตว์ป่าก็มีความหลากหลายและซับซ้อนยิ่งขึ้น